คู่แฝดบรรลือฤทธิ์ เปิดใจเล่าที่มาของการเดินแจกเงินตามบ้าน 10 ล้าน


สำหรับกู้ภัยหัวใจพระ อย่าง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้นำทีมอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ไปแจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ในชุมชนโรงหมูและชุมชนคลองเตย เพื่อเป็นการป้องการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้สโลแกน “ด้วยความห่วงใย เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน”

โดยมีชาวบ้านทั้งพ่อแก่แม่เฒ่า ลูกเด็กเล็กแดงจำนวนมากมารับแจก ทั้งนี้ทางทีมงานร่วมกตัญญูได้ บุกถึงบ้านเพื่อแจกหน้ากากอนามัยสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีแรงเรี่ยวแรงเดินออกจากบ้านมารับแจกอีกด้วย

และเนื่องจากวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดของบิณฑ์ และ ไทด์ บรรลือฤทธิ์ ทั้งคู่จึงขอพักภารกิจทุกอย่าง เพื่ออยู่กับหญิงอันเป็นที่รักที่สุดในชีวิตอย่าง คุณแม่ปรางทิพย์ ซึ่ง บิณฑ์ ได้ระบุข้อความลงในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

“วันนี้วันเกิดผมครับแต่..สวัสดีครับเพื่อน ๆ ที่รักทุกท่านครับ วันนี้ 27 พ.ค.2563 เป็นวันคล้ายวันเกิดของผมกับคุณ เอกพันธ์ แต่ปีนี้ไม่ต้องอวยพรให้ผมนะครับ

ขอกราบทุกท่านช่วยอวยพรให้คุณแม่ผมดีกว่านะครับ ปีนี้ท่านไม่ค่อยแแข็งแรง อยากให้ท่านได้อยู่เป็นกำลังใจให้ผมไปนาน ๆ ผมเชื่อว่าคำอวยพรของทุกท่านศักดิ์สิทธิ์ และจะให้คุณแม่ของผมปลอดภัຍจากโรคภัยไข้เจ็บ”

ล่าสุด ไทด์ เอกพัน ได้มาเล่าไทม์ไลน์ถึงที่มาของการเริ่มต้นจิตอาสาว่าตัวเองได้ทำมานานมากกว่า 30 ปีแล้ว และที่ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอดเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ คือ ทำด้วยหัวใจ เช่นเดียวกันในช่วงโควิดทั้งคู่ได้นำเงินส่วนตัว 10 ล้านบาท มามอบให้ประชาชนเพื่อบรรเทาทุกข์ของทุกคนลงได้บ้าง ซึ่งไทด์เริ่มต้นเล่าว่า

ไทด์ : เป็นความคิดดี ๆ ของคุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ซึ่งเข้านี่ยเห็นสภาพหลังจากโควิดเกิดได้สัก 1 สัปดาห์ ที่บ้านเราจะต้องล็อกดาวน์ 1 สัปดาห์ ไปตามสี่แยกเขาจะเห็นเด็กมาเคาะกระจกขอเงินกินข้าว ไม่ใช่เด็กอย่างเดียว ทั้งคนแก่ ทั้งคนหนุ่ม ขอเลย แบบขอกินข้าวเลยไม่มีตังค์

เพราะว่าทำงานไม่ได้ ออกจากบ้านไม่ได้ ทีนี่บิณฑ์เขาก็เกิดมีความคิดขึ้นมาว่า เงินที่เขาได้มาจากการไปช่วยน้ำท่วมที่ จ.อุบลราชธานีก็ มีสินค้าหลายตัวที่ให้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ได้เงินประมาณ 10 กว่าล้าน

ก็เลยมีความคิดว่า ไอ้เงิน 10 กว่าล้านเนี่ย มันไม่ใช่ของเขา มันเป็นเหมือนกับว่าลาภลอยที่เราไปทำเป็นฮีโร่ของพี่น้องประชาชนอีสาน เขาก็เลยตัดสินใจว่า เขาจะขอเดินแจกเงินให้กับชุมชนทุกชุมชนในกรุงเทพมหานครด้วยเงิน 10 ล้านบาทนี่

ทำไมไม่รับเงินบริจาค?

ไทด์ : ไม่รับ เพราะเงินบริจาคน้ำท่วมมันเกิดวิกฤติที่อุบลราชธานี ที่เขาเปิดรับบริจาค ตอนแรกเขาก็กะว่าได้สักล้านนึงหรือสองล้านที่จะเอาไปช่วยให้กับพี่น้องชาวอุบลราชธานี พรึ่บเดียวซัดไป 422 ล้านบาท ทีนี่เขามาคราวนี้เขาก็คิดว่าวิกฤตินี้ต้องช่วยกันทั่วทุกคนในแผ่นดินต้องช่วยกัน เพราะว่าประเทศไทยนี่เกิดขึ้นทั้งประเทศเลย

เขาก็เลยตัดสินใจเอาเงิน 10 ล้านเนี่ย เอามาให้เลย แจกทุกวัน ๆ ให้ครอบครัวละ 500 คนไหนที่ครอบครัวมี 4 คนให้พันนึง คนไหนอยู่ 2 คนให้ 500 เพิ่มขึ้นตลอด

แล้วจนกระทั่งผลิตภัณฑ์ที่เขาเป็น พรีเซนเตอร์เขาเห็นว่าเอาแจกจริง เขาก็เลยบริจาคมาให้ล้านนึง สองล้าน ตอนนี้ทั้งหมด 16 ล้าน รวมของเขาด้วย 10ล้าน เป็น 16 ล้าน วันที่ 14 (เดือนพฤษภาคม) เป็นวันสุดท้ายที่เราต้องแจก 16 ล้านนี้ต้องหมด

อะไรคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าชื่นใจที่สุด

ไทด์ : สิ่งที่มีความสุขที่สุด คือทำให้คนอื่นมีความสุข นี่คือเรา 2 คนจะพูดกันเสมอว่า วันนี้เป็นยังไงเหนื่อຍไหม? ไม่เหนื่อຍ แต่จริง ๆ แล้วมันเหนื่อຍมาก ที่ไม่เหนื่อຍก็เพราะว่า เห็นสีหน้าชาวบ้านมานั่งรอหน้าประตูยกมือไหว้ คนเฒ่าคนแก่เห็นเรา น้ำตานี่ไหลออกมา เข้ามากอด ได้เห็นความรู้สึกของแต่ละครอบครัว

บางครอบครัวมีเด็ก นมกล่องหนึ่งแบ่งกัน 2 คน แล้วก็ให้พ่อเขาออกไปหานมมาให้ลูกกิน ได้เงินเราไปเนี่ยเขาบอกว่า ข้าวสารอาหารแห้งเนี่ย ถามว่ามันจำเป็นไหม? มันก็จำเป็น แต่เขาก็ยังสามารถหาจากคนนู้นคนนี้ได้ แต่เงินเนี่ยหาที่ไหนไม่ได้ เอาเงิน 500 ไปให้เขาเนี่ย เป็นสวรรค์เลย ลูกไม่สบายเนี่ยและต้องไปซื้อยาเนี่ย

เงินหาซื้อไม่ได้ ก็ต้องไปยืมเขามา เงิน 500 เนี่ยช่วยเขาได้ประมาณ 1 สัปดาห์ บางครอบครัว 10 กว่าคนให้ไปเลยสามพัน สองพัน ไม่ได้ให้ 500 นะ 500 นี่คุณอยู่บ้านสองคน คนเดียวคุณก็ได้ 500 สมมุติว่ามีครอบครัวเด็ก มีอยู่ 7 คน ผมให้เด็กคนละร้อย คนละร้อย นอกจากเงินที่ได้ไปแล้วนะ เพิ่มให้เด็กไป คือเราเดินกันมาอย่างนี้เดือนกว่าแล้ว

เวลาพูดถึงมูนิธิร่วมกตัญญูหรือจิตอาสาหน้า 2 คนนี้ลอยมาเลย มันเริ่มต้นจากอะไร?

ไทด์ : มันเริ่มต้นมาจาก สมันก่อนเนี่ย บ้านผมอยู่ที่ จ.สระแก้ว อ.อรัญประเทศ ตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น แล้วมีมูลนิธิ 2 มูลนิธิ ที่เอาของข้วสารอาหารแห้ง เสื้อผ้า สมุดดินสอ ไปแจกกับเด็กที่ด้อยโอกาสแถวตะเข็บชายแดน อำเภออรัญประเทศเนี่ยติดกับกัมพูชา พวกผมก็ไปยืนรับจากมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิปอเต๊กตึ๊งที่เอาของไปแจก

เราเป็นผู้รับตั้งแต่เด็ก ๆ  รู้สึกว่าโอ้โห..มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นอะไรที่ดีใจมาก ที่ได้รับของจากคนที่เขาอยู่ในกรุงเทพเอาของไปแจก มันเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ที่เป็นผู้รับมา แล้วก็มาคิดว่าถ้าเรามีโอกาสได้เข้ามาในกรุงเทพ มีโอกาสได้ทำงาน มีเงินมีทอง ที่ตัวเองไม่เดือดร้อนเนี่ยอยากจะเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิเนี่ยที่เอาของมาแจก จริง ๆ แล้วจิตใจพื้นฐานเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

เพราะว่าพ่อแม่เนี่ยเขาเป็นตัวอย่างเป็นไอดอลสำหรับเรา ที่นี่มาอยู่ในกรุงเทพเนี่ย ตอนนั้นมีเหตุการณ์นึงเกิดในโรงหนังเอเธนส์ ตึกถล่มลงมา แล้วช่องออกข่าวว่าต้องการความช่วยเหลือเพราะมีคนติดอยู่ในซากตึก ทีนี้พี่บิณฑ์เขาก็ไปที่โรงหนังเอเธนส์เลย ตอนนั้นยังไม่เป็นอาสาไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นดาราแล้ว เป็นบิณฑ์ บันลือฤทธิ์แล้ว แล้วเข้าไปช่วย ทางปอเต๊กตึ๊งเห็นเขาก็ อ้าว พี่บิณฑ์ เขาก็เหมือนจะให้เข้าไปช่วย พี่บิณฑ์เขาก็จะเข้าไปช่วยปอเต๊กตึ๊งอยู่แล้ว ทีนี่ปอเต๊กตึ๊งเนี่ยเขามีวัสดุอุปกรณ์ในการช่วยเหลือทันสมัย แต่หันไปอีกที่นึงห่างกันสัก30 เมตร จะเห็นร่วมกตัญญูเขาใช้ค้อนทุบ ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือเลย

พี่บิณฑ์เนี่ยเขาเหมือนกับว่า เขามาเนี่ยเขาอยากใช้พลังร่างกาย เขาเลยบอกว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวขอไปช่วยทางนู้นดีกว่า” เพราะทางนี้คนก็เยอะแล้ว อุปกรณ์ก็เยอะแล้ว ไปช่วยร่วมกตัญญูดีกว่า เขาก็เดินไปช่วย ไปหยิบค้อนมาช่วยกันทุบช่วยกันตี ช่วยกันจนกระทั่งเอาผู้เสีຍชีวิตที่ติดอยู่ซากตึกออกมาได้ แล้วเขาก็แบกขึ้นบ่าเดินออกมา

แล้วทีนี้นักข่าวเขาก็เห็นก็ถ่ายไว้ หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันนั้น ทางร่วมกตัญญูเขาก็ไม่ได้ชวนนะ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์เดินเข้าไปขอเป็นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูตั้งแต่วันนั้นมา และก็มาชวน(เอกพันธ์)ไปด้วย คนก็เลยเข้าไป ตอนนี้ก็ประมาณ 35 ปีแล้ว

อาสาสมัครเนี่ย เขามีเงินตอบแทนให้ไหม?

ไทด์ : คำว่าอาสาสมัครเนี่ย เป็นการทำงานด้วยอาสามา ด้วยอาสาที่อยากจะทำให้สังคม มูลนิธิจะไม่มีเงิน ไม่มีอะไรสนับสนุนเด็ดขาด เขาจะไม่มีเงินให้ กินเอง เติมน้ำมันเองอะไรทุกอย่าง ถ้าเกิดเป็นรถอาสาสมัครเขาก็ทำโดยของเขาเอง มูลนิธิไม่ได้สนับสนุนอะไรให้ แต่ถ้าเป็นรถของ น.เขต น.พยาบาล

ซึ่งเป็นพนักงานของมูลนิธิที่เขาเก็บศwเก็บอะไรเนี่ย อันนั้นก็คือเขาจะมีเงินเดือนให้แต่น้อยมาก เงินเดือนน้อยมาก เพราะว่ามูลนิธิทุกมูลนิธิในประเทศไทยอย่าลืมนะว่าเป็นของเอกชน รัฐบาลไม่ได้มาซัพพอร์ตอะไรทั้งสิ้น ต้องอยู่ด้วยตัวเอง อยู่ด้วยเงินบริจาคของประชาชนเท่านั้u

ถ้าไม่มีเงินบริจาคของประชาชนก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ คนต้องมีใจจริง ๆ คือเราต้องไปทำงานอาชีพของเราก่อน เพื่อเอาเงินมาให้ครอบครัว เอาเงินให้กับลูก เอาเงินเก็บไว้สำหรับเราเจ็บไข้ได้ป่วຍนั่นคืออาชีพ แต่ตรงนี้เราทำให้กับสังคม แต่ถ้ามันมีอะไรที่เป็นเหตุการณ์ร้าย หรือเหตุการณ์ที่ใหญ่หรือกว้างมาก ที่ต้องการความช่วยเหลือ

บางครั้งก็ต้องของานอาชีพของเรากับวงการบันเทิง ขอเขาสัก 2-3 วันเพื่อจะมาดูแล ขอคิวมา เพราะว่าผมเป็นหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูดูแลอาสาทั้งหมดประมาณเจ็ดพันกว่าคนทั่วประเทศ ล่าสุดที่น้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานีผมก็ไปอยู่นั่นเป็นเดือน แจกของช่วยเหลือชาวบ้าน ก็จะไล่มาทั้งหมด 7 จังหวัด

มันจะมีคนที่ขยันมาก แต่มันไม่หลุดกับคนที่แบบ มันไม่ทำมาหากินอะ นั่งรอให้คนมาให้ไปเรื่อย ๆ พี่มีมุมมองตรงนี้ยังไง? หลายคนเจอแบบนี้แล้วรู้สึกไม่อยากให้

ไทด์ : มีเยอะ บางครั้งเราก็รู้สึกท้อใจเหมือนกัน ทำไมเขาคิดไม่ได้ สมมุติมีห้องห้องนึงมันว่างอยู่ ห้องนี้ก็ว่าง ห้องนี้ก็ว่าง แต่เจ้าของบ้านไปเอาใครที่ไหนไม่รู้มานั่งว่าเป็นเจ้าของห้อง เพราะว่าห้องนึงอย่างน้อยคือได้ 500 เปิดห้องให้เขามานั่งเพื่อจะได้รับเงินจากพวกเรา คือเราเนี่ยไม่ได้เรื่องเยอะมากมาย แต่เราก็ถามเป็นเจ้าของห้องไหม?

เป็นเจ้าของห้องครับ ขอดูห้องหน่อย เขาก็อึกอัก ผมอยู่ห้องนี้แหละครับ ห้องผมรกมากครับ คือนอนอยู่ที่นี่หรือเปล่า นอนครับ ขอเปิดดูหน่อย เปิดไป ห้องโล่งมีแต่ฝุ่น ไม่มีอะไรสักนิดนึง สามสี่ห้องเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เราก็ถามว่า ถามดี ๆ ตอบตรง ๆ ถ้าตอบตรง ๆ ผมให้ทุกคน พูด ๆ มาโอ้โห เจ้าของบ้าน แล้วเขาจะได้เท่าไหร่ ได้ 200 เอง

คืออย่างนี้มันมีเยอะมาก เหมือนครอบครัวนึง ชาวบ้านบอกอยู่เนี่ยไม่เกิน 2 คนแต่วันที่เราไปเกณฑ์กันมา 14-15 คนมาจากไหนไม่รู้ อย่างน้อย 14-15 คนคุณได้ไปแล้วประมาณ 3,000-3,500

แล้วไม่ใช่ได้เงินอย่างเดียว มูลนิธิร่วมกตัญญูมอบข้าวสารอาหารแห้งให้ 5 ชุด เราไม่ได้เสียดายของนะ แต่ขออย่ามาหลอกกัน ในภาวะแบบนี้แล้วคนอื่นที่เขาเดือดร้อนเขารออยู่เยอะแยะมากมาย

แหล่งที่มา: ต้มยำอมรินทร์

เรียบเรียงโดย ยิ้มสยาม

Leave a Reply

Your email address will not be published.